เปิดโลกการลงทุนของคนยุค Gen Y


เปิดโลกการลงทุน ยุค gen y

หนังสือ “เปิดโลกการลงทุนของคนยุค Gen Y”

รายละเอียด

ผู้เขียน :  เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์

สำนักพิมพ์ : Post Books

ราคา : 145 บาท

เล่าเรื่องเนื้อหา

ภายในเล่มจะแบ่งออกเป็น 15 บท (ขอแปะเป็นรูปเลยละกันนะครับ)

เนื้อหาภายในเล่ม

iYom reviews

(ขอบ่นก่อนเริ่ม) ท่ามกลางหนังสือการลงทุนที่เกลื่อนเต็มท้องตลาดมากมายในตอนนี้  iYom เวลาไปงานสัปดาห์หนังสือ หมายใจว่าจะไปหาติดไม้ติดมือมาสักเล่มสองเล่ม บอกตรงว่าเลือกไม่ถูกเลยครับ หนังสือก็แยะ คน (แมร่ง) ก็ยืนแช่กันหน้าบู๊ทหนังสือก็เยอะ (โดยเฉพาะบู๊ท SE-ED) เราจะไปยืนแช่บ้าง ไม่มีจังหวะให้แทรกตัวเลยไม่ได้เลยสักกะเล่ม ไปได้เล่มนี้ที่บู๊ท Post Books ไม่ได้รู้จักคนเขียนเลยด้วยซ้ำ ใครหว่า เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์ แต่ไปสะดุดกับชื่อ ดร.นิเวศน์ ที่มาเขียนคำนิยามให้ จึงคว้าติดมือมาสักกะหน่อย (ให้อุ่นใจว่ามีหนังสือการลงทุนให้อ่านบ้าง ฮ่าฮ่า)

หนังสือ เปิดโลกการลงทุนของคนยุค Gen Y เล่มนี้ ที่จริงมันน่าจะเป็น แนวคิด+กลยุทธ์การลงทุนใน ศตวรรษที่ 21 แต่ถ้าจะตั้งชื่อแบบนี้ คงไม่โดนใจวัยรุ่นเท่าไหร่ โดยเฉพาะ ยุคนี้ที่เหล่า Gen Y เริ่มจะเข้าสู่ตลาดมากขึ้นทั้งในด้านการบริโภค และในโลกของการลงทุน จึงเอาชื่อ Gen Y มาเป็นตัวดึงดูด (แสดงว่าเรายังมีความเป็น Gen Y อยู่นะเนี่ยะ)  ในส่วนเนื้อหาภายในต้องบอกว่าอ่านทำความเข้าใจง่ายทีเดียว เพราะในแต่ละบทผู้เขียนเค้าแบ่งเป็นข้อๆ อธิบายกันให้อ่านอย่างชัดเจนกันเลยทีเดียว และยังมีบางบทที่หยิบยกเอาเรื่องราวที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับการลงทุนเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ทั้งการเสียกรุงครั้งที่สอง หรือการบริหารจัดการประเทศเยอรมนีในสมัย Bismarck หรือไม่ก็เรื่องกลยุทธ์จีนในการทำศึก “จูงแพะติดมือ” หรือแม้แต่เรื่องความรัก คุณเจริญชัย ก็นำมาอธิบายผูกโยงเพื่อเปลี่ยนเป็นหลักการลงทุนได้อย่างลงตัวทีเดียว นิยังไม่รวมถึงบทที่ว่าด้วยราคาทอง ที่มองไว้ได้ค่อนข้างแม่นยำทีเดียว งั้นไปดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง ซึ่งขอสรุปแยกเป็นสองส่วน หนึ่งเป็นพวกแนวคิด สองเป็นกลยุทธ์การลงทุน

แนวคิด

– คนที่สามารถนำความรู้ในด้านอื่นมาประยุกต์เข้ากับการลงทุน จะเป็นคนที่มีแต้มต่อคนที่เน้นแต่ทฤษฏีการลงทุนเพียงด้านเดียว

– โลกใบนี้มีความซับซ้อนเกินกว่าจะมีสูตรสำเร็จตายตัว ซึ่งแตกต่างจากการทดลองทางวิทยาศาตร์ที่มักจะได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน ไม่ถูกก็ผิด

– โลกธุรกิจและการลงทุน มักไม่เป็นไปตามหลักการและเหตุผลเสมอไป คนที่รู้จักปรับตัวและเรียนรู้จากความผิดพลาด ย่อมเหนือกว่าคนที่ยึดติดในความฉลาดของตน

คนยุค Gen Y– ความคิดของเราก็เหมือนซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ถูกโปรแกรมไว้แล้ว ซึ่งมักจะให้คำตอบแบบเดิม

– คนจีนได้ชื่อว่าเป็นชาติที่รู้จักเก็บออม แต่สิ่งที่ทำให้คนจีนร่ำรวย คือ ความกล้าที่จะเข้าสู่โลกธุรกิจ กล้าที่จะแบกรับความเสี่ยง กล้าที่ยิ่งใหญ่

– เราต้องกล้าตั้งโจทย์ใหญ่ให้ชีวิต แล้วรองดิ้นรนดูบ้าง เผื่อจะค้นพบขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่เราละเลยมานาน

– ในโลกจริงไม่มีคำอธิบาย มีแต่สำเร็จกับล้มเหลว เราต้องสรุปบทเรียนเอาเอง

– การดิ้นร้นเป็นเช่นนี้เอง ไม่ได้ทารุณเพราะทำงานหนัก แต่โหดร้ายเพราะไม่รู้ว่าทำไมจึงผิดพลาด เราทำได้เพียงทดสอบ ทดลองเท่านั้น

– “สติปัญญา” เป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในศตวรรษที่ 21

– มนุษย์ มักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง นิ่เป็นขีดจำกัดในตัวเรา จึงทำให้ไม่สามารถมองสรรพสิ่งอย่างรอบด้าน อย่างที่มันเป็นไป ไม่ใช่อย่างที่เราต้องการให้เป็น

(คงจะประมาณว่า มองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น ทำยากอะ ฮ่าฮ่าฮ่า)

– อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป เพราะมัวแต่รอคอยทุกอย่างให้สอดคล้องกับตัวเรา

– ของดีเลิศ ย่อมมีคนที่รู้คุณค่าแล้วรีบฉวยคว้าไป จึงเหลือแต่ของดีปานกลางหรือย่ำแย่ ให้คนเชื่องช้า เพราะรอคอยความสมบูรณ์พร้อมได้เลือกสรร

– ความรักและการลงทุน จึงไม่ใช่เรื่องราวที่เราจะหลีกหนี หรือเอาแต่กลัว แค่กล้าที่จะเรียนรู้อย่างละเอียดลึกซึ้งโดยการเข้าไปสัมผัสอย่างจริงจัง ไม่หมกหมุ่นในอารมณ์และอคติส่วนตัว

(เปิดใจยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น เช่นเดียวกับยอมรับในสิ่งที่หุ้นเป็น คือ ล่วงลงจากดอย จ๊ากกก อันนี้รับไม่ได้ T.T)

กลยุทธ์การลงทุน

– ตลาดหุ้นไทยน่าจะสูงขึ้น ไปได้ระหว่าง 1,300-1,500 จุด ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า (ตอนนี้ปี 2013) โดยมีความผันผวนเป็นครั้วคราว เพราะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของนักลงทุนต่างชาติ ในการย้ายภูมิภาคของเงินลงทุน

– นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะคิดในด้านเดียว คือ ถ้าเจอหุ้นที่คิดว่าดี ก็มักจะอยากซื้อไว้ โดยไม่พิจารณาให้รอบด้านว่าอาจมีคนเห็นต่างและอยากขายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราไม่มีวันรู้ หากไม่ลองเป็นฝั่งขายดูบ้าง

– การเข้ามาทดลองซื้อขาย โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำลองดูก่อน (เสียหายอย่างมากไม่เกิน 10%) จะช่วยเพิ่มเติมข้อมูลที่หายไปจากการวิเคราะห์ และเพื่อกำหนดทิศทางการซื้อขาย ได้ดีกว่ามองจากด้านเดียว จนสามารถตัดสินใจลงทุนได้ 100% อย่างจัดเต็ม

– โซรอส ไม่ได้มีสัญชาตญานที่ดีกว่าคนทั่วไป แต่กลับเป็น “ระบบคิด” ที่มีการตรวจสอบตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

– ในช่วงเริ่มต้นขาขึ้น นักลงทุนไม่ควรขายหุ้นทั้งหมดทิ้งและเล่นระยะสั้นอย่างเดียว หากต้องเก็บหุ้นที่มีต้นทุนต่ำไว้เล่นในระยะกลางและยาวด้วย (เพราะฉะนั้น ซื้อหุ้นที่ราคาไหน ปริมาณเท่าไหร่จดไว้ด้วย จะได้มาตัดขายได้ถูก)

– เจาะลึกไปในธุรกิจที่มีสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูงกว่า ในราคาที่ถูกว่า (Better Product, Lower Price)

– นักลงทุน 4 ประเภท

1. นักลงทุนหุ้นปั่น : ขาใหญ่ครองเมือง

2. นักลงทุนหุ้นพื้นฐานแบบสวนตลาด (Contrarian Value Investor) : รู้ลึก รู้จริง และจิตนิ่ง

3. นักลงทุนหุ้นพื้นฐานแบบตามตลาด (Bullish Value Investor) : วิ่งตามเค้าไป

4. นักลงทุนหุ้นพื้นฐานแบบชั่วคราว (Temporal Value Investor) : เอ่ะ นิ่มันเม่าชัดๆ

– การลงทุนที่ดีไม่เคยเกิดจากความโลภที่เกินขอบเขต

– คุณสมบัติของนักลงทุนที่ดี ต้องมีการลงทุนด้านความรู้และวิธีคิดแบบเจ้าของกิจการ (Ownership Thinking) เพื่อจะตีแตกให้ได้ว่า บริษัทใดจะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องใน 10 ปี ข้างหน้าและเหนือกว่าคู่แข่ง

– นักลงทุนจะต้องมองเห็นถึงยุทธศาสตร์ (แผนการลงทุนระยาวของบริษัท) และยุทธิวิธี (แผนระยะสั้นในการสร้างรายได้เพื่อมาหล่อเลี้ยงธุรกิจ) ของแต่ละบริษัท ที่จะแบ่งแยกว่าเป็นหุ้นที่ดีเลิศ ออกจากหุ้นที่พื้นเพธรรมดา

– หุ้นเติบโตเมื่อสร้างราคาขึ้นมา 3-5 เท่า ยอมมีชื่อเสียง นักลงทุนรายย่อยหมายจะเข้ามาจับจอง เป็นโอกาสให้นักลงทุนรายใหญ่ปล่อยของ แล้วต่อมากดราคาให้ลงมาหนักๆ  ให้รายย่อย กลัว คายของออกมาให้หมด ก่อนที่จะโตต่อไป

(ข้อนี้ ผมจำได้ว่า มีคนแนะนำให้ไปดู % การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (% Free float) ถ้ายังไม่เกินสัก 30% แสดงว่า รายใหญ่เค้ายังไม่ปล่อยของนะ มีโอกาสวิ่ง)

*แนวคิด Bismarck

1. การสร้างระบบพันธมิตรและจัดสรรผลประโยชน์อย่างฉลาดสร้างสรรค์ รู้จักการขยายและเพิ่มพูนก้อนเค้กผลประโยชน์ด้วย ไม่ใช่สักแต่เพียงแย่งชิงก้อนเค้ก ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้รับส่วนแบ่งน้อยต้องโกรธเคือง และนำไปสู่ความขัดแย้งที่มีต้นทุนที่แพงยิ่ง

2. การทำให้ศัตรูที่ปราชัยไม่อ่อนแอเกินไป จะกลายเป็นเบี้ยหมากให้ใช่ถ่วงดุลกับมหาอำนาจ และศัตรูที่เหลืออยู่ต่อไปได้อีก

ทองคำโดยประเด็นที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้คือเรื่อง “ราคาทองคำ” ซึ่งคุณเจริญชัย ได้มองตลาดทองคำได้อย่างแม่นยำทีเดียว เนื่องจากบทความของคุณเจริญชัย น่าจะเกิดก่อนเหตุการณ์ที่ราคาทองดิ่งหัวลงมาเมื่อวันที่ 12-15 เม.ย. ปี 2556 นั่นเอง (ปัจจุบันที่กำลังเขียนรีวิว อยู่เนี่ย ราคาก็กำลังจะกลับไป ณ วันที่ 15 เม.ย. อีกครั้ง) ประเด็นที่น่าสนใจคือ

– ราคาทองคำได้ขึ้นมาจนเกือบสุดรอบแล้ว ควรน่าจะปรับลง เพราะมั่นวิ่งขึ้นมาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี จุดที่ต้องระวังคือ ราคาลงแล้วอย่าเพิ่งไปรับ เพราะอาจลงต่อได้อีก ดูต่อที่มันลงลึกๆ แล้วค่อยรับ (ว่าแต่ตอนนี้มันลึกยังหว่า)

– ปัจจัยพื้นฐานของราคาทองคำ ในระยะยาวย่อมเป็นสัดส่วนเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ การที่บอกว่าราคาทองคำดีไม่มีตก จึงถูกต้องในระยะยาว เพราะเงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้นเสมอ ฉะนั้นเมื่อสังเกตุดูเวลาที่ราคาทองบางทีนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ หลายปี ก็เป็นไปได้ว่ากำลังปรับตัวเพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ และในทางกลับกันถ้าราคาทองคำมันขึ้่นมาอย่างต่อเนื่องแล้วละก็ มันก็จะเตรียมปรับสมดุลนั่นเอง แต่จะนิ่งหรือตกลง ก็ต้องดูกันต่อไป

– ทองคำ ยังไม่หมดหน้าที่ในการเป็นแหล่งของความมั่นคง ที่จะช่วยให้ชีวิตรอดได้ในภาวะวิกฤต แต่อาจจะต้องดูที่ราคาเข้า ในหนังสือแนะไว้ว่า ตำกว่า 10,000 จะน่าสนใจมั๊กๆ (ว่าแต่ มันจะลงไปถึงมั๋ยเนี่ยะ)

– จังหวะการลงทุนทองคำ ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะครบกำหนด 10 ปี ทำไมจึงต้อง 10 ปี เพราะมันยาวนานพอที่นักลงทุนอาจจะลืมเลือนความเจ็บปวดของทศวรรษที่ 1980 ที่ราคาทองไหลลงอย่างรุนแรง (เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เริ่มปี 2013 คือจังหวะขายดีที่สุด ป๊ะ แม่นไรยังงี้)

– ว่าแล้ว เราลองไปดูราคาทองคำกันดีกว่า (อันนี้ iYom หามาฝากเพิ่มเติม)

อัตราผลตอบแทนของทองคำเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ปี 1963-2012

Gold vs Inflation 1963-2012

ที่มา : aswathdamodaran.blogspot.com

ราคาทองคำย้อนหลัง 1997-2013 (ประมาณ 15 ปี)

ราคาทองคำ ปี 1997-2013

ราคาทองคำ พร้อมสัญญาณทางเทคนิค (ไม่วิเคราะห์นะครับ เพราะไม่เก่ง ให้ลองไปตีความกันดูครับ)

ราคาทองคำ พร้อมสัญญานทางเทคนิค ปี 2009-2013

ครับสำหรับ “เปิดโลกการลงทุนของคนยุค Gen Y” เล่มนี้ แม้จะไม่เน้นทฤษฎีการลงทุนมากนัก แต่เข้าใจได้ว่าคุณเจริญชัย คงต้องการแสดงให้เห็นว่า การที่จะเป็นนักลงทุน ไม่ใช่แค่เน้นเรืองทฤษฏีอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักปรับความรู้ต่างๆ รอบตัวเรามาใช้ในการลงทุนได้ด้วย สำหรับผู้สนใจลงทุนที่อ่านทฤษฎีมาแยะ เล่มนี้คงเป็นอีกเล่มที่อาจจะช่วยเชื่อมโยงความคิดในความรู้เรื่องต่างๆ มาปรับเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์การลงทุนได้ ไม่มากก็น้อยครับ

เล่นหุ้นเป็นระบบ คุณก็รวยได้

เล่นหุ้นเป็นระะบบคุณก็รวยได้

หนังสือ “เล่นหุ้นเป็นระบบ คุณก็รวยได้”

Trading System : The way you can rich from stock market

รายละเอียด

ผู้เขียน :  ชัยภัทร เนื่องคำมา (Cway Investment)

สำนักพิมพ์ : Think Beyond

ราคา : 225 บาท

เล่าเรื่องเนื้อหา


ภายในเล่มจะแบ่งออกเป็น 7 บท คือ

บทที่ 1 : บทนำ (Introduction)

บทที่ 2 : การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis)

บทที่ 3 : ดัชนีราคา (Price Indicator)

บทที่ 4 : การวิเคราะห์ปริมาณซื้อขาย (Volume Analysis)

บทที่ 5 : ระบบเทรด (Trading System)

บทที่ 6 : บริหารจัดการเงิน (Money Management)

บทที่ 7 : จิตวิทยาการลงุทน (Trading Psychology)

iYom reviews

หนังสือการลงทุน แนวเทคนิคอล ผสมผสานกับการเทรดที่เป็นระบบ (Trading Systems) เหยาะด้วยแนวคิดในการลงทุน จึงทำให้หนังสือเล่มนี้มีรสชาติเข้มข้นทีเดียว น่าจะเป็นเพราะว่าผู้เขียน คือ คุณชัยภัทร มีประสบการณ์การเทรดหุ้นโดยใช้ระบบเทรดมาโชกโชน โดยได้นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังผ่าน บล็อก cway-investment ซึ่งผมก็ติดตามอ่านอยู่ ต้องบอกว่า การเทรดเป็นระบบ (Trading Systems) สำหรับผมค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ทีเดียว เพราะตัวเองยังไม่มีประสบการณ์เทรดแบบเทคนิคอลเลยด้วยซ้ำ เล่มนี้จึงต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจพอควรเลยนะเนี่ยะ (เห็นทีว่าครานี้ สงสัยคงต้องไปเปิดพอร์ตลองเจ็บตัวดูก่อน จึงจะเข้าใจได้มากขึ้น) แต่ถึงยังไงก็พอจะสรุปออกมาได้คร่าวๆ ในแต่ละบทตามข้างล่างเลยครับ

บทที่ 1  : บทนำ (Introduction)

Fibonacci Number– การจับจังหวะการเข้าซื้อหรือขายหุ้นไม่จำเป็นต้องถูกต้อง 100% แต่สิ่งที่ต้องตระหนัก คือ เมือผิดพลาดผิดทาง ต้องรู้จักยอมรับและหยุดการขาดทุนทันที

– แม้เป็นการลงทุนระยะยาว (หรือ VI) การจับจังหวะก็มีความจำเป็น เพราะการที่เรามีเงินลงทุนน้อย ไม่สามารถหว่านซื้อหุ้นได้มากมาย ดังนั้น การซื้อหุ้นในราคาที่ถูกได้นั้น หมายถึงการใช้เงินอย่างรู้คุณค่า

(ข้อนี้โดนมากะตัว แต่ก่อนเรียกตัวเองว่า VI ซื้อเมื่อไหร่ ดอยเมื่อนั้น พักหลัง หลังจากศึกษาและพอมีวิชาเทคนิคอลติดตัวบ้างเล็กน้อย ก็ลดอาการดอยลงไปได้บ้าง ฮ่าฮ่า…)

– Body ของแท่งเทียนยิ่งยาวยิ่งแสดงถึงการ Bullish (พี่กระทิงมา) มากๆ

– DOJI คือ ช่วงที่ราคาเปิดและราคาปิดมีค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก

บทที่ 2 : การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis)

– อย่าพยายามจินตนาการ (คาดหวังว่าราคาหุ้นจะเป็นงี้ เป็นงั้น) เพราะราคาหุ้นไม่เคยหลอกเรา แต่สิ่งที่กำลังหลอกเราคือ จิตใจของเราเอง

การวิเคราะห์แนวโน้ม Trend Analysis

บทที่ 3 : ดัชนีราคา (Price Indicator)

– ดัชนีราคา ใช้ค่าราคา ณ ช่วงเวลาต่างๆ มาคำนวณ ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว การย้อนกลับมาดูดัชนีราคามันจึงสมเหตุ สมผล

– การใช้ดัชนีราคาแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ

1. กลุ่มของ Trend : ราคาหุ้นมีแนวโน้มชัดเจน เช่น EMA, MACD, Bollinger Band และ Band Indicator

2. กลุ่มของ Oscillator : วัดความแกว่งของราคา เพื่อระบุสัญญาซื้อขายในช่วงราคาแกว่งตัวในกรอบ มีทั้ง RSI, STO และ ADX (DMI)

– กรณีแท่งเทียนลอยสูงกว่า EMA เส้นสั้นมากจะแสดงถึงแรงซื้อที่มาก ราคามีการปรับตัวขึ้นสูงเข้าข่าย Overbought

ดัชนีราคา Price Indicators

บทที่ 4 : การวิเคราะห์ปริมาณซื้อขาย (Volume Analysis)

– มีดัชนีเชิงปริมาณสองตัว (Volume Indicators) คือ

1. OBV (On Balance Volume) : ใช้วัดการแกว่งตัว

2. VAD (Variable Accumulation Distribution) : ใช้วัดการแกว่งตัว

– การติดตามกระแสเงินต่างชาติ ควรพิจารณารูปแบบความต่อเนื่องของแรงซื้อ และติดตามดูยอดซื้อขายสะสมมากกว่า

การวิเคราะห์ปริมาณซื้อขาย

บทที่ 5 : ระบบเทรด (Trading System)

แบ่งออกเป็น 3 ส่วน หลัก คือ

ส่วนที่ 1 Trade Algorithm : การวิเคราะห์เชิงเทคนิค ที่เราจะนำมาสร้างเป็นเงื่อนไขการเข้าหรือออก (Entry & Exit) ในการเทรดหุ้น ประกอบด้วย

1. Trend Following : ขี่ตามแนวโน้ม

2. Zoning System : จับจังหวะทยอยซื้อหุ้นปันผล

3. Breakout System

4. Swing Trading : ซิ่งไปตามแนวโน้มย่อย

5. Volatility System : เต้นไปตามความผันผวน

ส่วนที่ 2 Money Management : บริหารจัดการเงินของเรา ให้อยู่ในความเสี่ยงที่จำกัด ประกอบไปด้วย

1. Money Management System : กำหนดขนาดเงินลงทุน

2. Risk Reward Ratio : สัดส่วนเกราะทองคำ เพื่อวางแผนการลงทุน

3. Expectancy

4. Cut Loss

– การ Cut Loss เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็รู้ แต่ที่ทำไม่สำเร็จก็เพราะไม่ได้วางแผนเตรียมรับมือมาก่อน

5. Trilling Stop : ป้องกันการขาดทุน หรือ การหยุดการขาดทุนกำไร

6. Port Folio Analysis

7. ป้องกันความเสี่ยงด้วย TFEX

ประเด็นอื่นๆ

– การทำ Money Management เป้าหมายคือ การจำกัดผลกระทบต่อการขาดทุนต่อเนื่อง

ส่วนที่ 3 Trading Psychology : ใจและวินัยในการยึดมั่นต่อระบบที่เราพัฒนา

เคล็ดลับการบริหารเงิน– สิ่งสำคัญในการเก็งกำไร อาจไม่ใช่ที่ราคาถูกหรือแพงเพียงอย่างเดียว แต่แนวโน้มความต่อเนื่องของราคาในขณะนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า

– ควรจะมีเป้าหมายผลตอบแทน ทั้งระยะสั้น (ไตรมาส แต่ใครจะเป็นรายวัน ก็ลองดูนะครับ) ระยะยาว (ปี) เป้าหมายนั้นจะใช้ เพื่อวางกลยุทธ์บริหารการลงทุน และใช้เปรียบเทียบผลการลงทุนกับผลตอบแทนโดยรวมของตลาดหุ้นด้วย

– หุ้นทุกตัว มันมีรอบที่จะเข้าไปทำกำไร เราจะต้องจับจังหวะให้ถูก เพื่อสามารถเก็งกำไรรายรอบตามทิศทางของ Fund Flow

– อย่าพยายามมองเงิน ที่ได้หรือเสียจากการลงทุน เป็นมูลค่าที่เทียบกับสิ่งของ สินค้า ที่เราต้องการในโลกจริง เพราะมันจะทำให้จิตเราอ่อนแอได้ง่ายๆ ประมาณว่า หัวใจสะออน (แสดงความแก่เลยเรา)

– การเทรดในหนึ่งครั้งจะแพ้หรือชนะ ก็เป็นส่วนหนึ่งในความน่าจะเป็น ไม่มีนัยอะไรให้เราต้องดีใจหรือเสียใจ เพราะถ้าเราคิดใช้ระบบเทรดในการลงทุน ต้องมองภาพรวมในระยะยาว

เคล็ดลับการเล่นหุ้น

– “ความกลัว” รู้จักมัน ด้วยระบบการลงทุนและการบริหารจัดการเงินทุน การตั้งการจำกัดการขาดทุน จะทำให้เราแปลงสภาพของความกลัวจากนามธรรม (ประมาณว่า หลอน วิตกจริตไปเรื่อย) ให้เป็นรูปธรรมในเชิงตัวเลขที่จับต้องได้ ซึ่งจะช่วยให้เรารับมือกับความกลัวนั้นได้

– “ความโลภ” รู้จักมัน ด้วยการวางแผนการลงทุน จะได้รู้ผลตอบแทนที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งความพอใจจะเข้าไปสกัด ความโลภ หรือไม่คือ พอได้อย่างเป้าที่ตั้งไว้ ที่เหลือ ก็คือ ความโลภของตรูล้วนๆ
– เคล็ดลับการเล่นหุ้นอยู่ที่ใจ

– ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ข่าวหรือเหตุการณ์จะออกมาอย่างไร แต่นัยอยู่ที่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากตอบสนองต่อข่าวและเหตุการณ์อย่าวไรมากกว่า

– อ้างอิงถึงรายการ TED Talks ที่คุณ Dan Ariely นักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Economics) พูดในหัวข้อ “การตัดสินใจของเราเป็นของเรา จริงๆ หรือ?” สามารถเลือกซับเป็นภาษาไทยได้ครับ ตรงแถบวีดีโอ ครับ

(ส่วนตัวผมก็อ่านหนังสือของเขา ในเรื่อง พฤติกรรมพยากรณ์ (Predictably Irrational) ชอบเลยละครับ เป็นอีกเล่มที่น่าสนใจนะครับ ไว้มีโอกาสจะมารีวิวอีกหนึ่งเล่ม)

ระบบเทรด Trading system

ระบบเทรด 2

ค่อนข้างยาวทีเดียวครับสำหรับการรีวิว หนังสือ “เล่นหุ้นเป็นระบบคุณก็รวยได้” เพราะมีเนื้อหาที่เข้มข้นมากจากที่บอกไว้ โดยเฉพาะทฤษฏีการบริการหารจัดการเงิน (Money Management) ที่มาใช้ผนวกกับทฤษฎีการเทรดอย่างเป็นระบบ (Trading System) แม้บางครั้ง บางคราจะทำให้มือใหม่อย่างผม งงงวยไปบ้าง แต่ก็ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้สอนทั้งทฤษฎี + วิธีปฏิบัติ + แนวคิด ได้อย่างแจ่มแจ้งอีกหนึ่งเล่ม  ถึงแม้โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะออกไปทางการลงทุนในสายเทคนิค แต่สำหรับผมกลับคิดว่า เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสายเทคนิค สายมูลค่า (Value Investor) หรือสายแมงเม่า ก็น่าจะมีไว้อ่านเพือเสริมสร้างอาวุธทางปัญญาติดตัวไว้ ให้สามารถเอาตัวรอดจากสมรภูมิตลาดหุ้น ที่ปีนี้อาจจะมีท่ายากให้เราลุ้นกันตลอดก็เป็นได้

 

หยง เกิดมาเทรด


หยงเกิดมาเทรด

หนังสือ “หยง เกิดมาเทรด”

รายละเอียด

ผู้เขียน :  ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ (หยง)

สำนักพิมพ์ : stock2morrow

ราคา : 225 บาท

เล่าเรื่องเนื้อหา

ทั้งหมดมีอยู่ 40 บท ซึ่งเท่าที่ดูน่าะมีแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ

ส่วนที่ 1 : แนวคิด จิตวิทยาในการลงทุน จะอยู่ในบทที่ 1-17

ส่วนที่ 2 : Technical Analysis + ผลิตภัณฑ์ / สินค้า Trade จะอยู่ในบทที่ 18-27

ส่วนที่ 3 : Money Management บทที่ 28-40

iYom reviews

เป็นหนังสือแนวการลงทุน หรือพูดง่ายๆ ก็เล่นหุ้น น่านแหล่ะ ที่เน้นไปทางสายการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ Technical Analysis แต่ “หยง เกิดมาเทรด” เล่มนี้ จะไม่ได้เน้นหนักทางด้านทฤษฎีเท่าไหร่ จะเน้นไปที่หลักการคิดของคุณหยง ที่เป็นนักลงทุนมืออาชีพ และนำประสบการณ์การเทรดมาเล่าให้ฟังกัน ส่วนตัวผมไม่ค่อยมีความรู้ทางสายเทคนิคมากเท่าไหร่ เพิ่งมาอ่านและศึกษาอย่างจริงจังขึ้นมาบ้างก็ตั้งแต่ปีที่แล้วเอง จุดเริ่มต้นก็มาจากอ่านหนังสือของ คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม ในชุดแกะรอยหยักสมอง นั่นแหล่ะครับ (ไว้มีเวลาจะ review เพิ่มครับ) ซึ่งทั้งสองเล่มมาจากสำนักเดียวกันนั่นเอง ที่จริงเล่มนี้ได้มาเพราะคนแนะนำ แกมบังคับให้อ่านด้วยครับ  ศึกษามาก็ปีกว่าตอนนี้ก็ยังไม่กล้าลงไปเจ็บจริงสักเท่าไหร่ ได้แต่มองกราฟ ขีดเส้นโน้นบ้าง ตีเส้นนี้บ้าง เอ่อมันก็มันส์ดี เพราะเรายังไม่ได้เอาเงินไปลงนั่นเอง เอาแต่สมมติฐานไปทดสอบก็แค่นั้น ส่วนตัวเห็นมีบางจุด บางคำ น่าสนใจ ขอจดไว้ทบทวนภายหลัง (เผื่อวันหน้าเจ็บจริง หรือใครกำลังเจ็บอยู่ จะได้ช่วยเตือนสติ สำรวจตัวเองกันดูสักครา)

ส่วนที่ 1 : แนวคิด จิตวิทยาในการลงทุน

– เวลาตลาดเปิด /ปิด

TOCOM เช้า เปิด 7.00-11.00 น. , บ่าย เปิด 13.00

ฮั่งเส็งฟิวเจอร์ เช้า เปิด 8.00-11.30 น., บ่าย เปิด 13.30

AFET เช้า 10.00-15.45 น.

SET เช้า 10.00-12.30 น., บ่าย เปิด 14.30-17.00 น.

TFEX เช้า 9.45-12.30 น., บ่าย เปิด 14.30-16.45 น

(มีใครรู้รายละเอียดเพิ่มเติมหรือผิดถูกอะไรก็แจ้งได้นะครับ)

– ทุกครั้งที่ซื้อหรือขายต้องประเมินว่า นิ่คือ โอกาสที่เสี่ยงต่ำสุด ไม่ใช่จุดที่ทำกำไรมากสุด

– เราจะบริหารความโลภอย่างไร ? การแยกเงินออกจากตัวเองบริหารอยู่ใน Port นั่นเอง

– การลงทุนมีคุณสมบัติสองข้อ

1. เงินลงทุนจะต้องเพิ่มมูลค่า ตลอดๆ (ทุนโต)

2. จะต้องสร้างกระแสเงินสดให้เราได้อย่างต่อเนื่อง โดยเราอาจได้รับปันผลหรือแบ่งขายทำกำไรออกมาเป็นส่วนๆ

– หัวใจของการสร้างความมั่งคั่งนั้น ไม่ใช่การหาเงินก้อนใหญุ่สุดๆ แต่คุณต้องสร้างสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดให้มันโตที่สุด

– ถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ จะทำให้ใกล้เป้าหมายมากขึ้นหรือไกลออกไป เราต้องโฟกัสเฉพาะเรื่องที่ทำให้เราถึงเป้าหมายเท่านั้น แม้กระทั่งสุดท้ายแล้วไปไม่ถึง เราก็ยังสามารถมองกลับมาเป็นประสบการณ์ได้

– คำว่า “หน้าที่” มันต่างจากคำกว่างานหรือ job เพราะถ้าเป็นงาน คุณอาจจะไม่อยากทำก็ได้ แต่สำหรับหน้าที่ม มันคือ “ความผูกพัน”

– วิธีการที่จะวางผังพอร์ตให้กับสินค้าฟิวเจอร์ ซึ่งมีขนาดไม่เท่ากัน ให้สมดุลนั้น อย่าไปดูที่มูลค่าหรือจำนวนสัญญา ดูที่เงินตัวเองว่าเทรดได้เท่าไหร่ เอาเินเราเป็นที่ตั้งนะ

– วิธีการหนึ่งที่จะทำให้่เราค้นพบตัวเองได้เร็วที่สุด คือ การเขียนบันทึกหรือไดอารี่เกี่ยวกับการเทรดในแต่ละวัน (Trade log)

ส่วนที่ 2 :  การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การวิเคราะห์ทางเทคนิค– ในขาลงถ้าเรายังไม่เห็นจุดต่ำสุดของรอบ นั่นแปลว่ายังไม่ควรซื้อ ส่วนในขาขึ้นถ้าการขึ้นของราคายังไม่ใช่จุดสูงสุดของรอบ การเข้า Short จะอันตรายมาก

– ธรรมชาติของหุ้นจะมาเป็นรอบๆ สามแบบ คือ Uptrend, Downtrend และ Sideway รอบขาขึ้น ขึ้นแล้วทำ Higher low สูงขึ้น นั่นแปลว่าจะขึ้นต่อ รอบขาลงคือ การลงมาสร้างฐานต่ำลงเรื่อยๆ

– การดูจะเริ่มจาก Momentum แล้วก็มาดู Trend แล้วถึงมาดู Price แต่การสอนจะตรงกันข้าม Price > Trend > Momentum

– ไส้เทียนที่เป็นไส้ยาวๆ ข้างล่าง แปลว่า มันมีการเทขายหุ้นออกมา แต่ด้วยเหตุผลบางประการนักลงทุนอาจมองว่า ราคาที่ขายลงมาถูกเกิ๊น จึงต้องไล่ซื้อกลับ (รูป หน้า 147)

– หุ้นนั้นใช้เทคนิควิเคราะห์ก็ดี แต่ต้องมีปัจจัยพื้นฐานมาเสริมด้วย

– สรุป แนวคิดการวิเคราะห์ทางเทคนิค

หยง_เกิดมาเทรด_technical_concept

ส่วนที่ 3 : Money Management

– ถ้าเราเริ่มต้นเทรดที่ 80% ของพอร์ต ครั้งต่อไปก็ต้องเทดรที่ 80% เท่าเดิม ไม่ต่ำกว่านี้ และเมื่อพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะต้องไม่เทรดลดลงมาเช่นกัน

เคล็ดลับการจัดพอร์ต

– โครงสร้างการเงินจะต้องมีสามส่วน (รวย + มั่งคั่ง + มั่งคง)

1. ลงทุนเน้นการเก็งกำไร : เงินมันจะโตเร็ว

2. ลงทุนเน้นสร้างกระแสเงินสด : ใช้เพื่อเลี้ยงเราในอนาคต โดยที่มันต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายประจำของเรา และเป็นจุดสร้างความมั่งคั่ง

3. เงินออม : เพื่อใช้เป็นฐานของชีวิต เผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยแบ่งมาจากข้อ 1 และ 2 นั่นเอง

– มีเงินมากเท่าไหร่ มันไม่ใช่คำตอบ จริงๆ แล้ว จะต้องมีกระแสเงินสดเข้ามามากกว่าค่าใช้จ่ายต่างหาก

– เทรดเดอร์ ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่มีเทคนิคการเทรดขั้นเทพ แต่เป็นคนบริหารพอร์ตำด้ดีเยี่ยมต่างหาก

– องค์ประกอบสามอย่างที่เทรดเดอร์ควรต้องมี คือ จิตวิทยา + การบริหารเงิน + เทคนิคอล

– เมื่อเราบริหารพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พอร์ตไม่ควรสวิงขึ้นลงมากกว่า 10%

– “Don’t let it get expensive” ชีวิตเราถือว่าเป็นสิ่งที่ราคาแพงที่สุดแล้ว ถ้าเราทำอะไรถึงเป้าหมายแล้วยังไม่เลิก มันก็เหมือนกับการผูกมัดทางใจ เหมือนกับสร้างห้องกักขังทางใจไว้กับความฝันที่วาดไว้ เราจะ “Move on” ไม่ได้

การลงทุนคือการเรียนรู้ทั้งชีวิตจบท้ายด้วย “ความศรัทธาของคนเราเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะตอนที่ทุกอย่างราบรื่น ไม่ว่าอะไรคุณก็จะไม่บ่น แต่พอเจอปัญหาที่แทบไม่เห็นทางออก ตอนนั้นมันต้องอาศัย ศรัทธา ความเชื่อ ความรักในสิ่งที่ทำ ซึ่งจะนำพาเราก้าวผ่านอุปสรรคไปได้”

สำหรับ “หยง เกิดมาเทรด” เล่มนี้ อย่างที่บอก ไม่ค่อยเน้นทฤษฏีเกี่ยวกับเทคนิคอล เป็นเรื่องของแนวความคิด+จิตวิทยาล้วนๆ ส่วนตัวแล้วชอบในเรื่องของข้อคิดเกี่ยวกับความมั่งคั่ง เพราะก่อนหน้านี้ มักจะได้ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่าอยากมีอิสรภาพทางการเงิน จนตัวเองมาเข้าสู่ตลาดหุ้น เพราะอยากมีอิสรภาพทางการเงินกะเค้าบ้าง นึกอยู่ในใจแล้วมันเป็นอย่างไรหว่า ซึ่งคุณหยงได้ อธิบายเกี่ยวกับการที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงินได้นั้น มันจะต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง (อ่านได้จากข้างบน) เอาเป็นว่าเล่มนี้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการขยายกรอบความคิด ปรับทัศนคติ ตัวเองในการลงทุน แต่ถ้าต้องการทฤษฎี นับคลื่น อีกา หัว ไหล่ ตูด (เอ้ย ไม่ใช่) หวั่นใจว่า คงต้องผ่านไปเล่มอื่นแทนครับ

 

ยกเครื่องความคิด (REWORK)

ยกเครื่องความคิด_Rework

หนังสือ “ยกเครื่องความคิด  REWORK”

รายละเอียด

ผู้เขียน :  Jason Fried & David Heinemeier Hansson

ผู้แปล : อาสยา ฐกัดกุล

สำนักพิมพิ์ : WeLEARN

ราคา : 180 บาท

เล่าเรื่องเนื้อหา

เนื้อหาในเล่มจะมีเป็นหมวดหมู่อยู่ 10 ตอน ประกอบไปด้วย

1. ชำแหล่ะธุรกิจ

2. ออกตัว

3. เดินหน้า

4. สร้างงาน

5. คู่แข่ง

6. เจริญเติบโต

7. ประชาสัมพันธ์

8. ว่าจ้าง

9. ควบคุมความเสียหาย

10. วัฒนธรรม

เวลาไม่ใช่ข้ออ้าง

iYom reviews

“รื้อทุกวิธีคิด ในการทำงาน เปลี่ยนวิธีทำธุรกิจของคุณไปตลอดกาล” ตรงปกหนังสือก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแนวคิดบริหารแหวกแนวกว่าที่เคยอ่านมา เข้าใจว่าน่าจะแป็นแนวความคิดที่เกิดจากประสบการณ์การทำงานของ คุณ Jason และ คุณ David ที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง  บางเรื่องก็น่าสนใจ และส่วนบางเรื่องเราก็รู้ไว้ได้ครับ แต่อย่าเอามายึดหรือคาดหวังว่า บริษัทหรือองค์กรที่เราทำงานอยู่ มันจะต้องเป็นแบบนี้ เพราะไม่งั้นตัวเราก็จะมัวแต่ไปยึดว่าแบบนั้นถูกแบบนั้นผิด ไม่เป็นอันทำงานทำการ เอาเป็นว่า อ่านแล้วรู้แล้วปรับใช้ในการทำงานหรือการดำเนินชีวิตไว้บ้างน่าจะดีกว่า   โดยส่วนตัวชอบอยู่บางแนวคิด ขอเอามาจดไว้สักหน่อย

– โลกแห่งความจริงไม่ใช่สถานที่ มันเป็นข้อแก้ตัวต่างหาก คนเรามักใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องลงมือพยายาม โลกที่ว่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลย

– การวิวัฒนการไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความล้มเหลวในอดีต แต่พัฒนาขึ้นจากสิ่งที่ได้ผลดีอยู่แล้วต่างหาก

– การทำให้ความฝันเป็นจริง คือ ความรับผิดชอบของคุณเองล้วนๆ อย่าบอกว่าไม่มีเวลา หรือยังไม่ถึงเวลา เพราะจังหวะเวลาที่เหมาะสมมันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันมาถึงอีกด้วย

คำอันตราย

– ธุรกิจที่ยังไม่มีเส้นทางทำกำไรไม่ใช่ธุรกิจ มันเป็นแค่งานอดิเรก

– การทำธุรกิจ = ความเชื่อ + ความสนุก + เงิน

– ก่อนที่จะบ่นว่า “ไม่พอ” ลองพยายามคิดดูก่อนว่าคุณทำอะไรได้มากแค่ไหนจากสิ่งที่คุณมีอยู่

– เมื่อคุณเริ่มต้นสิ่งใหม่ คุณจะมีทั้งสิ่งที่คุณ “ทำได้”  “อยากทำ”  “ต้องทำ”  ซึ่งเราต้องเริ่มสิ่งที่เราต้องทำก่อน คือ การเริ่มต้นที่จุดศูนย์กลาง

– การตัดสินใจ คือ การเดินไปข้างหน้า

– แก่นของธุรกิจควรจะผูกอยู่กับสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลง อะไรก็ตามที่ผู้คนต้องการในวันนี้ และยังต้องการในอีกสิบปีข้างหน้า นั่นแหล่ะคือ สิ่งที่คุณควรจะลงทุน

– ถ้าคุณอยากให้เกิดแรงเหวี่ยงและแรงจูงใจอยู่เสมอลองหาชัยชนะย่อยๆ ไปตลอดการเดินทาง เพราะถ้างานที่คุณทำอยู่ไม่มีแรงเหวี่ยงไปข้างหน้า ไม่คงไม่ใช่เรื่องดีนัก

– คนเรามักตื่นเต้นเมื่อเห็นความขัดแย้ง พวกเขาจะเลือกข้าง ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับสินค้า และนั่นคือวิธีที่จะทำให้ลูกค้าสังเกตุเห็นคุณได้ในทันที

โด่งดังชั่วข้ามคืน

– เมื่อคุณสอน คุณจะทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับคุณอย่างที่กลยุทธ์การตลาดเก่าๆ ไม่สามารถทำได้

– ถ้าตุณต้องการให้ใครสักคนหันมาสนใจ การดึงความสนใจของเขา โดยทำในสิ่่งที่ เหมือนกับคนอื่นๆ คงไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก

– วัฒนธรรมคือผลพลอยได้ ของพฤติกรรมที่ทำมานาน

– เมื่อคุณต้องเขียน อย่าคิดถึงคนทุกคนที่จะต้องอ่านข้อความของคุณ คิดถึงใครคนใดคนหนึ่งแล้วลงมือเขียนเพื่อคนคนนั้น การเขียนถึงคนกลุ่มใหญ่จะทำให้คำที่คุณเลือกใช้ฟังดูเย็นชาไร้ความรู้สึกและไม่เป็นธรรมชาติ

มีอีกบทหนึงที่น่าสนใจ เพราะส่วนตัว สมัยก่อนมักจะชอบนอนดึกๆ เพราะมันเงียบดี เหมือนมีโลกส่วนตัว โดยใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือซะส่วนใหญ่ ดูขยันเน๊อะ แต่ผลของมันก็คือ เวลาตื่นเช้ามา ไปทำงาน ง่วงฮิบ หงุดหงิด หงุ่นหง่าน ตลอดวัน คิดอะไรก็ไม่ออก เฟร็งเป็ด พาลไม่มีสมาธิ เข้า facebook เข้า webboard หาประเด็นดราม่าอยู่ล่ำไป พอมาได้อ่านบท “ไปนอนซะ” ก็มาเข้าใจแจ่มชัดเลย ที่แท้มันเกิดจากการนอนไม่พอนิ่เอง เพราะเมื่อเรานอนไม่พอจะเกิดอาการเหล่านี้ (หลายคนอาจจะรู้อยู่แล้ว ก็ได้นะ ส่วนตัวเพิ่งมาตาสว่าง)

– ดันทุรัง : เมื่อคุณเหนื่อยล้ามากๆ คุณมักจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีเดิมๆ ถึงแม้มันจะไม่ใช่วิธีที่ดีก็ตาม

– ขาดความคิดสร้างสรรค์ : ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งแรกที่จะขาดหายไปเมื่อคุณอดนอน

– หมดกำลังใจ : เมื่อสมองของคุณทำงานไม่รวดเร็วฉับไว คูณจะหันไปหาอะไรที่ต้องใช้สมองน้อยกว่า เช่น เปิด facebook อ่านเรื่องชาวบ้านนั่นเอง

– ขี้หงุดหงิด : ความอดทน จะลดลงฮวบ เมื่อคุณอ่อนล้า

แรงบันดาลใจ

ข้ออีกข้อ “แรงบันดาลใจเป็นสิ่งมหัศจรรย์  เป็นสิ่งที่ทำให้คุณสร้างผลงานได้รวดเร็วขึ้นมาก และเป็นแรงกระตุ้นชั้นเยี่ยม แต่มันจะไม่รอคุณอยู่นานนัก รีบคว้ามันเอาไว้ จับให้แน่น แล้วนำมาใช้งานทันที”

ต้องบอกว่า “ยกเครื่องความคิด Rework” เป็นอีกเล่มที่อ่านสนุกครับ และให้แนวคิดที่น่าสนใจ แถมจุดเด่นที่สำคัญ หนังสือเล่มนี้มีภาพประกอบแต่ละบทที่แปลกตาดีครับ ทำให้อ่านแล้วมีรสชาติมากขึ้น แนะนำมีไว้ติดบ้าน ประดับความรู้อีกหนึ่งเล่มครับ